The official emblem for His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary Celebrations, 5 December 1999 Welcome to Kanchanapisek Network Kanchanapisek Network logo


ENGLISH VERSION
หน้าแรก
พระราชประวัติ
พระราชพิธีกาญจนาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
โครงการพระราชดำริ
พระราชดำรัส
พระราชอัจฉริยภาพ
เพลงพระราชนิพนธ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี

หน่วยงาน
ในเครือข่ายกาญจนาภิเษก

หน่วยงานที่ร่วมเสนอผลงาน
เกี่ยวกับเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ความรู้เพื่อคนไทย
Site map
Milestones
Feedback

Main Banner

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
วันจันทร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
(ฉบับไม่เป็นทางการ)

VIDEO VIDEO

ก็ขอบใจนายกที่ได้อวยพรในนามของทุกๆ ท่าน และได้ลำบาก ได้ทำงาน มาเป็นเวลากว่า 50 ปี ด้วย ความ สามารถ ความจริง 50 ปี กว่า 50 ปีนี้ ก็พยายามทำตามที่ มี ความสามารถที่จะทำ และมานึกดูว่า การทำงานอะไรก็ตาม จะทำคนเดียวไม่ได้ แล้วก็ท่านที่มาในที่นี่ ทั้งข้าง…. ทั้งข้างนอกข้างในตามรายงานมีถึงหมื่นหกพันคน ก็ได้เห็นโดยตรงและคนที่อยู่ข้างนอก ข้างนอกวัง ข้างนอกประตู ก็ยังมีถึงประมาณหกสิบล้าน ทุกคนก็มีความสามารถทั้งนั้น หรือควรที่จะมีความสามารถ เมื่อ 50 กว่าปี ประเทศไทยมีประมาณ 20 ล้านคน วันนี้มี 60 ล้านคน ก็ควรจะ ประเทศชาติควรจะเจริญ เพราะว่ามีบุคลากรมาก แต่ก็ได้บ่นกันว่า เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดี ไม่ดีเท่าที่ควร จะทำอย่างไร สำหรับให้ดีขึ้น แต่ละคนควรจะพิจารณาว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญ ก่อนลงมานี่ ได้ดูรายการโทรทัศน์ของฝรั่ง เกี่ยวข้องกับการศึกษา ก็ทำให้คิดดูว่า ที่เค้าพูดถึงการศึกษา เค้าพูดถึงการศึกษา ของเด็ก แล้วก็เด็กเหล่านั้นต่อไปก็จะเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนที่อยู่ในที่นี่ก็เคยเป็นเด็ก เมื่อ 55 ปี ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็ก

คือบางคนก็ไม่ได้เกิด ยังไม่เกิด จึงนึกดูว่า ถ้าได้ปฏิบัติอย่างที่เค้าปฏิบัติ อาจจะมีความเจริญมากกว่านี้ ตอนนี้ก็ยังไม่เล่าให้ฟังว่าเค้าสอนยังไง หรือเค้าศึกษาว่าเด็กตั้งแต่อายุ 1 ขวบจนอายุ 4 ขวบ เค้าทำอย่างไร ความจริงเด็กเหล่านั้นเค้าได้รับการสอน แต่ส่วนใหญ่ได้รับการสอนบด้วยตัวของเอง ก็เลยไม่ทราบว่าท่านจำ ได้รึเปล่าเมื่ออายุ 4 ขวบ ว่าสอนตัวเองว่าอย่างไร ก็จะต้องเดาต่อไป มาเดี๋ยวนี้ขอพูดอีกเรื่อง ไปคนละเรื่อง เนื่องจากที่นายกพูดถึงน้ำท่วม น้ำท่วมนั้น ไม่กี่วัน น้ำท่วมหนัก ที่ทาง ภาคใต้ และโดยเฉพาะที่หาดใหญ่ และได้ภายในไม่กี่วัน ได้รับข่าวโดยตรง จากผู้ที่ไปและมาราย งานทำ ให้ทราบว่าควรจะได้อะไร ที่ใช้คำว่า ได้ทำอะไร ได้หมายความว่า เป็นพาน เป็นพานมาก่อน ก่อนที่ น้ำท่วม ที่ควรจะทำก่อนน้ำท่วม คือการมี ภัยธรรมชาติ หรือมีภัยอะไรก็ตาม มีปัญหาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ เตรียมการในการแก้ไขมาก่อน ภัยธรรมชาติ หรือภัยอื่นๆ ก็จะรุนแรง เพราะพูดถึงว่า มีความเสีย หายถึง พันล้าน

ความจริง คะเนไว้มากกว่าพันล้าน มากกว่ามาก แต่ว่าคะเนว่า ถ้าได้ทำมาก่อน คือการป้องกันมาก่อน โดยการป้องกันนั้น ไม่ถึงพันล้านแน่ นึกดูว่าอาจจะเป็นประมาณ 500 ล้าน ฉะนั้น ถ้าหาก ได้ทำมาแล้ว ก่อนที่ลงทุนนั้นกลับคืนมา หลายเท่าตัวแล้ว ที่ท่วมครั้งก่อนที่รุนแรง ที่สุดเป็นปี 2531 และครั้งนั้น ก็เสียหายมาก ได้เคยไปที่นั่น และได้ศึกษาทั้งในที่ และทั้งในแผนที่ว่า ควรจะทำอย่างไร แต่ว่า ไม่ทราบเพราะอะไร เหมือนว่า บอกว่ามันแพง ก็อย่างที่ว่า มันแพง จริงแต่ว่าจะคุ้ม อย่างไรก็ตาม มาเมื่อไม่กี่วัน ก็ได้พบท่านผู้ใหญ่ แล้วท่านผู้ใหญ่ ก็บอกว่า ทำแน่ ควรจะทำ ก็ดีใจเพราะว่า ในอนาคต อาจจะมีความ เสียหายน้อยลง ที่ได้รับรายงาน ก็เห็นชัดว่า โครงการที่วางเอาไว้แล้ว 12 ปีก่อน ควรจะได้ทำ เหมือนตามที่ได้ แจ้งว่าควรจะทำ ที่เค้าทำในครั้ง เมื่อ12 ปี ก็ทำนิดๆ หน่อย ๆมิหน่ำซ้ำ ยังไปสร้าง อะไรที่ทำให้น้ำท่วม นั้นร้ายขึ้น ทำให้หาดใหญ่ ท่วมในตัวเมือง ทีแรกไม่เชื่อ แต่ว่า ก็เห็นในรายงานท่วมถึง 3 เมตรก็มี เป็นความจริง ทำไมท่วมอย่างนั้น ก็เพราะว่า จากแรงคน

แทนที่จะไปทำเขื่อน ที่อื่น เพื่อที่จะเก็บน้ำเอาไว้ หรือป้องกันน้ำท่วม หรือเก็บน้ำสำหรับ มาทำการเพาะปลูก ในหน้าแล้ง ไปน้ำเขื่อนกันน้ำ ทำให้เมืองหาดใหญ่ จมลงไปในน้ำ เวลาสร้างเขื่อนที่ ไหนเค้าก็ร้องโวยวาย ว่า ทำให้ท่วม ทำให้เสียหาย ขอชดเชยต่างๆ ตอนนี้ เอาแล้ว เป็นความจริงแล้ว ก็ชดเชย ต้องชดใช้เป็นพันล้าน เพราะว่าไปสร้างถนน ไปสร้างถนน ให้น้ำลงไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อ น้ำลงมาแล้ว น้ำก็เอ่อขึ้นมา นอกจากนี้ ควรจะได้ทำพนัง ก็ใช้ถนนเหมือนกัน แต่อีกสายนึง ก็ไม่ได้ทำ ถนนที่ควรจะ เป็นพนังนั้น ก็ทำเตี้ย ถนน ที่เป็น เขื่อนนั้นทำสูง และไม่ทำช่องให้น้ำผ่าน ก็แสดงให้เห็นว่า หลักวิชาไม่ได้อยู่ในสมอง ของผู้ปฏิบัติ ก็เลยทำให้ นึกว่า ถ้าคนที่ได้เป็น ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ทุกคนควรจะมีความรู้ ความคิดที่จะป้องกันได้ และสามารถที่จะแจ้งให้ ผู้ที่มีความคิดควรจะ มีความคิด หรือผู้ที่มีหน้าที่ได้ทำ เมื่อปี 36 ได้เคยพูดว่า ถ้าคนที่เราเลือก หมายความว่า เราก็คือประชาชนเลือกให้เป็นผู้แทน จะเป็นผู้ที่พูดแทนเรา

เมื่อ 4 ธันวา 36 ว่าผู้ที่เลือก ก็เลือกให้พูดแทนเรา เป็นผู้แทนของเราแล้วพูดแทน เรา มาบัดนี้ไม่มี ไม่มีก็เลย ไม่มีใครพูดแทน ตัวเองก็ไม่พูด พูด คนที่พูดแทนก็ ไม่มี แต่ว่าเมื่อตะกี้ เมื่อเข้ามานี้ มีคนพูดแทน ก็หวังว่าเป็นการพูดแทน ของประชาชนจริงๆ เพราะเค้าบอกว่าเค้า พูดในนามของประชาชน คนไทย ว่าจะทำตามเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัว อันนี้ไม่ทราบว่าเค้า รู้เรื่องดีอย่างไร ถึงว่าเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัวคืออะไร แต่ก็ควรจะรู้ หรืออย่างน้อยที่สุด ท่านผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ ข้างในนี้ ก็น่าจะรู้ น่าจะเข้าใจ เพราะว่าจำนวนมากส่วนใหญ่ ได้ฟังพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง และ ทฤษฎีใหม่ มาหลายต่อหลายครั้ง แล้วไม่ได้คัดค้านว่าใช้ไม่ได้ ทำไม่ได้ มีบางคนพูดบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียง นี้ไม่ถูก ทำไม่ได้ ไม่ดี ได้ยินคนเค้าพูด แต่ว่าส่วนใหญ่บอกว่าดี แต่พวกส่วนใหญ่ที่บอกว่าดีนี้ เข้าใจแค่ไหนก็ไม่ทราบ แต่ยังไงก็ตาม เศรษฐกิจพอเพียงนี้ ขอย้ำว่า เป็นการทั้งเศรษฐกิจ หรือ ความประพฤติ ที่ทำอะไรเพื่อให้เกิดผลโดยมีเหตุและผล คือเกิดผลมันมาจากเหตุ ถ้าทำเหตุที่ดี ถ้าคิดให้ดี

ให้ผลที่ออกมา คือสิ่งที่ติดตามเหตุ การกระทำ ก็จะเป็นการกระทำที่ดี และผลของการกระทำนั้น ก็จะเป็นการกระทำที่ดี ดีแปลว่ามีประสิทธิผล ดีแปลว่ามีประโยชน์ ดีแปลว่าทำให้มีความสุข คราวนี้ก็ขอกลับมาอีกเรื่องที่พูดตะกี้ว่า ใครต่อใครก็บอกว่า พูดถึงทุกวัน ให้เลือกคนดี ต้องให้อธิบาย คนดีเป็นอะไร คนดี ไม่รู้ว่า การวิเคราะห์ศัพท์ ว่าดีแปลว่าอะไร ก็ขอให้เป็นคนดี คนดีนี่ โดยมากก็นึกถึง ว่า คนไหนมีความสุข คนไหนรวย ก็เป็นคนดีเพราะว่าเค้า ทำเก่ง วันนี้ก็สงสัยได้เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่พูดกระทบกระทั่งใคร แต่นึกว่าอาจจะ กระทบกระทั่งเค้า คนไหน ที่นึกว่ากระทบกระทั่งก็ อาจจะไม่ใช่คนดี นึกถึงการพูดก่อนลงมานี่ ได้คิดว่าเราอยู่ในที่ลำบาก เพราะว่าถ้าพูดอะไรก็ตาม คน โน้นก็ถือเป็นพระราชดำรัส ถือว่าเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่ควร จะทำตาม นี้ที่เดือดร้อน เพราะว่าที่พูดนี้ ไม่ได้เตรียมการ มาเลยซักนิดเดียว ไม่ได้จด ไม่ได้ แม้คิดก็คิด เมื่อตะกี้ ก่อนลงมาดูทีวี

ดูโทรทัศน์ต่างประเทศ พูดถึงเด็ก 2 ขวบ 3 ขวบ เค้าเล่นกัน เด็กที่โตหน่อยคืออายุ 4 ขวบเค้า จะรีบ รีดผ้าเขา จะเอาเตารีดผ้าซึงเขาทำ ด้วย ด้วยพลาสติกแข็ง เขามาเจอ เด็กอีกคนขึ้น ไปนั่งบนโต๊ะ รีดผ้าเขา ก็ไล่ลงไปเด็กอีกคนก็ไม่ ลงทำหน้าเฉยไม่ลง ดือบอกว่านี้เป็นที่ของผม ไล่ลงไม่ได้ เขาก็เลยเอาเตารีด ผ้านั้นตีหัว ป๊อก ๆ แล้วก็ผล ท้ายเด็กคนนั้นก็ร้อง ไห้หนีไป ไปฟ้องครู คนที่ เคาะหัว ก็รีดผ้า ได้ผลสำเร็จหมายความ ว่าเขาปฎิบัติตัวถูกต้อง เขาถูกต้องเพราะ ว่าที่ตรงนั้นสำหรับรีดผ้า ไม่ใช้สำหรับ นั่งคนที่นั่งบนนั้น ผิด ถูกไล่ไป ก็ไม่รู้ที่จะต้อง เอาใจใส่ต่อไป อันนี้เขาโชว์ ให้ดูเขา แสดงให้ดู เขาก็ตั้งใจที่จะ ให้ดูว่าเรา เราควรจะทำอย่างไร ของเราก็มี ไม่ใช้เด็ก 4 ขวบ เด็ก 40 ขวบ ไปไล่คนนูน ไล่คนนี้ มาฟ้องมาร้อง แล้วก็อีกคนก็ นั้งอยู่บอกว่า ไม่ไป เขาไล่ไปอย่าง นั้นก็เพราะว่า ไมได้สั่ง ไมได้สอน ว่าอะไรเป็นผล เป็นประโยชน์ ของประเทศชาติ คนที่มานั่งบนโต๊ะ รีดผ้านั้น เขาก็มีสิทธิเขาอยู่ในห้องนั้น เขามีสิทธิที่จะนั้ง บนโต๊ะรีดผ้า

คนที่จะมารีด ผ้าก็มีสิทธิที่จะรีดผ้า อันนี้เป็นปัญหาโลกแตก แต่ทำอย่างไง สำหรับสองคน ปองดองกันได้ ไม่ ไม่ทะเราะกัน และปฎิบัติอะไร ที่จะทำให้ทั้งสองฝ่าย ได้มีความสุข ได้มีที่นั่ง ได้มีที่รีดผ้า ที่เล่าให้ฟังเพราะว่า ทึ่งมาก รู้สึกดู วิธีเขาสอน รู้วิธีเขา แสดงให้เห็นว่า เด็ก มีปัญหา ที่นี้ไม่มีเด็ก 4 ขวบ แต่ว่าก็เคยมีอายุ 4 ขวบ มาแล้วฉะนั้น แต่ละคน อาจจะจำไม่ได้ว่า 4 ขวบเนีย มันเด็กมาก ที่ตัวข้าพเจ้าเองจำได้ก็เข้าใจว่า 4 ขวบก็จำได้แต่ว่า เลือนลางก็เลยถือว่าเมื่อสี่ ขวบ เป็นคูรให้ตัวเอง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ มากนัก เพราะว่าจำไม่ค่อยได้ แต่ว่าเมื่ออายุถึง 73 จะ 74 เต็มพรุ้งนี้ ก็ไปนึก กลับไป ในอดีต ให้ถึงประมาณ ว่าสุด 10 ขวบหรือ 7 ขวบ 8 ขวบ 10 ขวบ ก็เรียนรู้ได้เหมือน กันมีสิ่งที่ เราผ่านมา ก็ มาใช้ได้ไม่ ใช้ว่าผ่านไป แล้วผ่านไป เมื่อวานนี้เราทำอะไร วันนี้ก็เป็นประโยชน์ เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ดูอะไรทำอะไร ก็มีประโยชน์ หมายความว่า ต้องคิดแต่ละท่าน ก็คิดได้เหมือนกัน ที่พูดอย่างนี้ วนไปวน มาจากเรื่องของเด็ก มาถึงผู้ ใหญ่ จากเรื่องน้ำท่วม มาถึงการสร้าง เขื่อน ก็เพราะว่าอย่างที่ พูดตะกี้ว่า กลุ้มใจลงมาพูดต่อหน้าชุมนุมนี้

ถ้าพูดอะไร ที่ไม่เข้าเรื่อง ก็ถูก ถูกว่า ว่ากล่าวว่า พูดไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดอะไรที่ดี แต่ไปเข้าใจผิด ก็ อาจจะเสียหาย อย่าง เคยพูดแล้ว ก็ คนก็บอกว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดอย่างนี้ อย่างนี้ ความจริงไม่ได้ พูดอย่างนี้ หรือพูดแต่เข้าใจว่า เข้าใจผิดว่า เป็นอีกอย่าง แม้แต่ผู้ ใหญ่ได้รับเรียกว่าคำสั่ง คำขอร้อง เสร็จแล้ว รีบไปตามทำ ผิดก็มี ฉะนั้นการฝึกตัวเอง ให้ฟัง ให้ถาม ให้เข้าใจ เป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับทุกคน แม้แต่อาขุ 73 ก็ ก็ต้อง ฝึกมากกว่า 73 ก็ยัง ต้องฝึก 80 ก็ยังฝึกอยู่ 80 เนียมีท่านผุ้อายุ 80 ก็น่าชื่อชมท่านเดินตรง แล้วก้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็หมาย ความว่าท่านคิด ท่านคิดรอบคอบ มีท่านผู้หนึ่งในที่นี้ ท่านบอกว่า จะตายแล้ว เรา มาบอกกับท่าน ว่าอย่างเพิ่งตาย ถ้าจะตายก็ ไม่มีประโยชน์ แล้วก็ให้พร ไปขอให้อายุยืน ท่านก็อายุ 80 กว่าแล้ว ก็ ท่านก็รับคำสั่ง ท่านรับคำสั่ง ด้วยความฉลาด ว่า คนเราต้องมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีชีวิตอยู่ ก็ทำงานอะไรไมได้ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมไมได้ ท่านก็เลยเดินมา เดิมมานั่งอยู่ที่ แล้วฟัง แล้วพยักหน้าว่าถูกแล้ว ทำอย่างนี้มาสองครั้ง ไม่ ใช้ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งก่อนท่านก็บอกว่า จะตายไม่ไหวจะตาย

เลยบอกให้ เตือนบอกว่า ไม่ให้ตาย แล้วพูดภาษาแขก ด้วยแต่บอกท่านมีคำสั่งภาษาแขก ให้อายุยืน ฑีฆา ยุโก โห ตุ ก็ ท่านก็รับคำสั่งแล้ว ก็ท่านก็เดินมาประชุม เดินมาประชุมแล้วก็บอกว่า พระเจ้าอยู่หัว สั่ง ไม่ ให้ตาย แล้วก็ต้องไม่ตาย อีกคราวนี้เหมือนกัน ท่านลืมหรือยังไง ไม่ทราบว่า ได้รับคำสั่ง หรือคำสั่งนั้นมัน หมดอายุแล้ว ก็จะเอาท่านเรา จนหมดอายุ เมื่อท่านไม ได้มาบอกว่าหมดอายุแล้ว คราวก่อนนี้ท่านบอกว่าท่านหมดอายุ คราวหลังนี้ท่านแย่ ง๊อกแง๊ก ๆ ๆ จนกระทั่ง ลุกขึ้นมาไมได้ มีคนมาฟ้อง มีคนมาฟ้องว่า ท่าน ท่านจะไม่ยอมอยู่แล้ว แล้วก็ไม่รู้ละ เรื่องของท่านเองท่านอยากจะตายก็ตาย ก็ตายไป แต่คนเขาก็อ้อนวอน สั่งให้ท่านไม่ตาย มาครั้งนี้ก็พูดภาษาแขกอีกไม่ให้ตายให้อายุยืน ท่านก็มาได้ แล้วท่านก็ไปประชุม ประชุมแต่ว่าท่านก็บอกขอ ทำงานน้อยลงหน่อยก็ ก็แก่แล้วก็เลยยอมคนอืนไปทำงานแทนเมือคนอืนทำงานแทน เอาผลงานของคนอืนมาตรวจงานอะไรต่าง ๆ มาดู แอะ ทำไมมันเป็นอย่างนี้มันมีผิดก็เลยให้แก้ แก้เสร็จแล้วมาส่ง ส่งที่แก้กลับมาแอ๊ะมันก็ยังผิดอีก เลยชักเหนือยเลยนึกว่า คราวนี้ส่งคืนไปคงต้องให้ผู้ที่จะตายตรวจงานอีกที แอะที่ตรวจงานทีนี้

ก็บอกรายละเอียดให้ได้ว่ามีประมุขประเทศในยุโรป ซึ่งควรจะใส่อูย่ในงานนี้ ว่ามีวันพระสมภพ สมภพแปลว่าท่านเป็นผู้ คลองคลอด ท่านสระราชสมบัติแล้วแล้วก็พระโอรสก็เป็นประมุขขึ้นมา ไม่ยักกะบอกในบัญชีก็หมายความว่า จะต้องแก้ให้เปลี่ยนส่วนผู้ที่ลาแล้ว ก็ ไม่มีหน้าที่ตำแหน่งที่จะเป็นประมุขจึงต้องแก้ไขใน ในบัญชี อันนี้ฝากเอาไว้ไปลอง ตรวจดู นี้ไม่ได้เกียวข้องกับท่านทุกคนทั้งหลาย นอกจากท่านผู้เฒ่า กลับมาเรื่องน้ำท่วมที่หาดใหญ่ก่อนลงมาประชุม ของราชประชานุเคราะห์ พอดีไว้แวะไปงาน ประมาณ 15 นาทีก่อนที่จะลงมาก็มาเล่าให้ที่ชุมนุมราชประชานุเคราะห์ทราบ คราวนี้เช่นเดียวกัน 15 นาทีก่อนลงมานี้ก็ได้รายงานจากชุมพร ชุมพรนั้นได้มาอวดว่า4ปีแล้วน้ำไม่ท่วมแต่รายงานนี้ ตอนที่ยังไม่ได้รายงาน ยังกลัวเหมือนกันว่าชุมพรน้ำอาจจะท่วมเพราะปีนี้ฝนตกหนัก แต่ปรากฏว่าฝนตกหนักไม่ได้ทำให้น้ำ ท่วมในเมืองอย่างที่เคย รายงานที่เอามาก็ที่ถืออยู่นี้ตามปกติ ไม่ ไม่เอากระดาษอะไรเลยลงมา ลืมก็ลืมไปแต่อันนี้ลืมไมได้ ก็ต้องเอากระดาษมาเพราะว่า เพราะพวกยื่นมาให้อันนี้มีตั้งแต่ปี 2532พายุเก ฝนตกมาแล้วน้ำท่วมหนักทั่วถึงในเมือง มีต่อมา 32 อีก 5ปี37น้ำก็ท่วม 38 น้ำก็ท่วม38นำท่วมซ้ำ40พายุมิต้าซิต้า น้ำท่วมหนักมาก 40

ถึงได้ไปพิจารณาต่อไปว่าทำไมปี 41น้ำฝนลงมาหนักน้ำไม่ท่วมพายุลินดาคงเคยได้ยิน ปีต่อไป อะ ในปีเดียวกันปี41ในเดือนธันวาวันที่6ธันวา ฝนตกหนักมากน้ำไม่ท่วมเพราะว่าได้ขุดคลองหัววังเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ปี43นี้ฝนตกหนักน้ำไม่ท่วมเมื่อ17พฤศจิกายน เมื่อไม่กี่วันมานี้เองที่หลังจาก หาดใหญ่ท่วมแล้วก็กลัวกันว่าชุมพรจะท่วม ไม่ท่วม น้ำที่ลงฝนที่ลงมา เป็นมิลลิเมตรที่น้ำท่วม พายุเก 122 มิลลิเมตร พายุลินดา373มิลลิเมตรน้ำท่วมหนักแต่มาถึงลินดาน้ำไม่ท่วม 163 มิลลิเมตรมาถึงปี 41 416 มิลลิเมตรน้ำไม่ท่วม ก็หมายความว่าที่ ที่ทำโครงการอย่างที่เล่าให้ฟังวันก่อนนี้ว่าใช้เงิน30ล้านปรากฏว่าก็สำเร็จ พูดถึงก็ไม่แพง ทำให้ความเสียหายเป็นพันล้านเหลือ 30 ล้าน 30ล้านนี้ไม่ใช้เงินของรัฐบาลเลยเงินของรัฐบาลคือเงินของ ประชาชน ก็หมายถึงว่าเงิน 30 ล้านนี้ไม่ได้เป็นเงินของประชาชน แต่ก็เป็นประชาชนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเป็นเงินของราช ประชานุเคราะห์เพราะว่าเป็นเงินบริจาคของประชาชน ก็หมายความว่าประชาชนจะสามารถปกครองประเทศเหมือนกัน ถ้าพยายามทำให้ถูกต้องและประหยัดดีถ้ารัฐบาลทำก็อาจจะกว่า30ล้านแต่ว่านี้ไม่ไช้ว่ารัฐบาลแต่ว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช้รัฐบาล แล้วเป็นรัฐบาลชั่วคราว เพราะเขาว่าอย่างนั้นใช้ไหมแต่ว่ายิ่งไม่อยากไป ถ้าหากว่าทำอย่างที่ว่าประชาชนทำ ราชประชานุ เคราะห์ทำ

มันก็ควรจะถูกว่าเพราะว่าราชประชานุเคราะห์แปลว่า ราช ชะ รา ชะ กับ ประชา นุเคราะห์ซึ่งกันและกัน ก็มีความเอ็นดูกัน ประชาชนก็เอ็นดูพระราชา พระราชาก็เอ็นดูประชาชน ก็บอกถ้าทำอย่างนี้ก็จะต้องประหยัด เพราะว่า ประชาชนก็สงสารพระราชาถ้าต้องเสียเงินมากก็จะทำให้เดือดร้อนพระราขาก็ไม่อยากให้ประชาชนต้องเสียเงินมากเพราะ จะมีความทุกข์จึงทำให้ราคาถูกและได้ผล ส่วนรัฐบาล ไม่ใช้รัฐบาลนี้ รัฐบาลทั่วไปเขาก็บอกว่าเงินทองอะไรของเรา ไม่ใช้เงิน ทองของรัฐบาลเป็นเงินทองของประชาชน ที่เราก็เป็นประชาชนคือทุกคนก็เป็นประชาชนก็ต้องเสียภาษีทั้งนั้นก็ต้องถือว่าคนที่ เป็นจังหวะรัฐบาล หรือข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ หรือใครก็ตามก็เป็นประชาชนทั้งนั้นมีหน้าที่ ที่จะประหยัดเงิน ของประเทศชาติของประชาชนเพื่อที่จะให้ บ้านเมืองมีความปลอดภัย มีความสุข ในขอบเขต ของความร่ำรวย ของประเทศ ก็ร่วมกันทั้งหมดถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็เชื่อว่าประเทศนี้คือประเทศไทยจะอยู่ได้มิใช้ มิใช้ว่า รัฐบาลนี้อยู่ได้ รัฐบาลนี้จะเปลี่ยน หรือจะเข้ามาใหม่ หรืออะไรก็ไม่รู้ที่จะเป็น แต่ว่าประเทศจะอยู่ได้ เพราะว่าปฎิบัติอะไรมีประสิทธิภาพ น้ำไม่ท่วมและประหยัด

ทั้งหมดนี้พูดอย่างนี้ก็คือเศรษฐกิจ พอเพียงนั้นเอง เศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ย้ำแล้วย้ำอีกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า sufficiency economy ใครต่อใครก็ ต่อว่า ว่า ไม่มี sufficiency economy แต่ว่าเป็นคำใหม่ของเราก็ได้ก็หมายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช้ขี้เหนียว ทำอะไร ด้วยความอะลุ้มอล่วย กัน ทำอะไรด้วยเหตุและผล จะเป็นเศฐกิจพอเพียง แล้วทุกคนจะมีความสุข แต่พอเพียงเศฐกิจพอเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ ปฎิบัติยากที่สุดเพราะว่าคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นี้ อีกคนอยากจะนั่งเก้าอี้เดียวกัน นั่งได้ไหม ไอ้นี้ก็พูดมามาหลายปีแล้ว ก็ แต่ละคนก็สั่นหัวว่านั่งไมได้ เพราะว่าเดือดร้อนเบียดเบียนแต่คนที่อยุ่ข้างหลังนู้นอยากมานั่งข้างหน้านี้ก็ไมได้แต่อยู่ข้างหลัง นู้นก็ไมค่อยเห็นผู้พูด ผู้พูดก็ไม่เห็น เห็นแต่หัวข้างบนนิดหน่อย มาอยู่ข้างหน้านี้เห็น เห็นทั้งหน้าทั้งตัวทั้งไม้เท้า ก็เลยต้องยอม จะให้ท่านที่ถือไม้เท้าไปอยู่ข้างหลังนู้น ก็ ค่อนข้างจะทารุนเพราะว่าท่านอยาก อยากเห็นท่านไมได้เห็นมานานแล้วเพราะ ท่านพูดก็ให้ท่านเห็นเป็นอันว่าเมตาซึงกันและกัน ที่พูดเนียไม่ใช้พูดสำหรับสังสอนให้มีอะไรที่น่าสนใจอะไรแต่ให้ได้มานั่งอยู่ ด้วยกัน เพราะว่าท่านทั้งหลายได้มา มาให้พร

ก็เมื่อให้พร ก็ต้องมีความจะเรียกว่าอะไร..อ่า...ให้จิตใจมันถึงกันได้ ถึงมานั่งถวายพระพร แล้วก็บอกว่าขอบใจลาก่อน มันก็ไม่มีความเป็นอบอุ่น ความ ความครึกครื้น ความสุขไม่มีความสุขมันก็เสียเปล่าๆ ท่านก็เสียเวลามามากเสียน้ำมันรถยนต์ซึ่งแพงมา เราก็เสียนำมันรถยนต์ที่แล่นมาอุตสาห์ใช้รถคันเล็ก ๆ ไม่ค่อยเปลืองน้ำมัน แล้วก็ไม่ใช้รถโบราณรถสมัยใหม่ กินน้ำมันน้อยหน่อย แต่น้ำมันสมัยใหม่มันแพง ไม่รู้ทำไมมันแพง แต่ก็ยังงายเป็นสมัยนี้ อะไร ๆก็แพงขึ้นทุกที จะให้น้ำมันมัน ถูกลงมาก็ลำบาก นอกจากหาวิธีที่จะทำน้ำมันที่ราคาถูกซึ่งก็ทำได้เหมือนกัน ถูกกว่านิดหน่อย คือแทนที่จะใช้น้ำมันที่มีโอเทน 95 ใช้โอเทน 91 แล้วก็เติมกอฮอร์เข้าไปนิดนึง ได้ 95 ก็มีวิธีทำได้ อาจจะเป็นได้ว่ารถจะวิ่งไม่เร็ว ก็ดีเหมือนกันรถไม่วิ่ง ไม่ให้วิ่งเร็วเกินไป รถจะได้ไม่ชนมากเกินไป ก็จะได้ประหยัด ยังไงทั้งหมดนี่เป็นความคิดให้พอเพียง

ถ้าทำอะไรที่แหม อยากให้ดีที่สุด มีรถคันนี้วิ่งได้ 300 กม./ชม. ไปหาถนนที่ไหน แล่น 300 กม./ชม หรือถนนที่วิ่งได้เร็วมั่ง วิ่งได้ 300 ไม่ถึง ถึงที่ เค้าก็เลยไม่วิ่ง 300 ถามเค้าวิ่งเท่า ไหร่ เค้าวิ่ง 140-150 มันก็มากแล้ว140-150 วันก่อนนี้มีคนเค้าแล่นรถจากกรุงเทพไปหัวหิน รถเล็กกว่าคันนี้อีก ก็วิ่ง 150 กม. / ชม. ใช้น้ำมันเติมกอฮอร์ ของสวนจิตรนี่ ก็ใช้ได้คือทดสองดู วิ่งได้ เครื่องก็ไม่เสีย และก็วิ่งก็ได้เร็ว กินน้ำมันก็ไม่มากกว่าเดิม และทำให้ตรงข้ามเครื่องดีขึ้น สะอาด ไม่มีมลพิษ ก๊าซกอฮอล์นี่ทำมาหลายปีแล้ว 10 ปีได้ ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่ยังไม่เผยแพร่มาก เพราะเหตุว่าถ้าทำกอฮอล์นี่จะต้องเสียภาษี เสียภาษีลงท้ายน้ำมันก๊าซกอฮอล์นี่จะแพงกว่า แพงกว่าน้ำมัน 17 บาท จึงยังไม่บอกว่าควรจะใช้ แต่ถ้าใช้ได้ ไม่จำเป็นที่จะเก็บภาษีมากนัก แต่เค้ากลัวกัน ว่า ถ้าไม่เก็บภาษี มาก เดี๋ยวแทนที่จะใส่รถจะใส่ จะดื่ม จะบริโภค คือคำว่าบริโภคน่ะเอาน้ำมันก๊าซกอฮอร์หรือกอฮอร์ ใส่ในรถ ก็เป็นการบริโภคเหมือนกัน แต่การบริโภคนั้นก็ได้ผลว่ารถมันแล่น ก็บริโภคการคมนาคม

แต่ว่าบริโภคใส่ในปาก ก็เป็นการบริโภคเหมือนกัน บริโภคใส่ในปากแล้วก็ไปใส่ในรถ บริโภคใส่ในรถให้แล่นไป มีหวังไม่ ก็ถึงที่เหมือนกัน ฉะนั้นก็เลยยังไม่แนะนำให้ใช้กอฮอร์เป็นบริโภค เป็นเชื้อเพลิงใส่ในปาก แต่ว่าถ้าสมมุติว่า กอฮอร์ที่ทำแล้วก็บริโภคโดยใส่ในรถแล้วแล่นได้ก็ไม่ต้องเก็บภาษีให้มันแพง แต่ว่านักเศรษฐกิจท่านบอกว่ากอฮอร์ต้องเก็บภาษี ถ้าไม่เก็บภาษีไม่ใช่กอฮอร์ แล้วก็ยังไม่เข้าใจ ไม่ค่อยเข้าใจเศรษฐศาสร์ แต่ยังงายท่านก็คิด แล้วข้อสำคัญที่สุด กอฮอร์นี้ถ้าดีจริง ๆ สามารถที่จะผลิตในประเทศ ผลิตในประเทศ ก็ไม่ต้องเสียเงิน ตราต่างประเทศ แต่ไม่ทราบนักเศราฐกิจนักการคลัง ท่านชอบต้องซื้อเงินตราต่างเประเทศ ไม่ยอมซื้อเป็นเงินบาท แต่ยังงัยขอแนะนำว่า ถ้าสมมุติว่าใช้กอฮอร์ผลิตในประเทศ การปูก็ต้องให้ดี ก็ต้องให้ทางกระทรวงเกษตร และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมมือกันให้กอฮอร์ ให้ผลิตกอฮอร์ได้ ไม่ต้องเสียเงินตราต่างประเทศ ถ้าไม่ต้องเสียเงินตราต่างประเทศ แล้วเศรษฐกิจของเรา ควรจะดีกว่า อาจจะไม่ดีเพราะว่าเงินดอลล่า ไม่เดินสะพัด อันนี้พูดแบบคนไม่รุ้เรื่อง คนไม่รู้เรื่องการคลังการเศรษฐกิจ

แต่ว่า เรานึกดูว่าถ้าสมมุติว่าใช้สิ่งของที่ทำในเมืองไทย ในประเทศเอง แล้วก็ทำได้ดี มีมาก อ้อยที่ปลูก ที่ต่างๆ เค้าบ่นว่ามีมากเกินไป ขายไม่ได้ ราคาตก เราก็ไปซื้อในราคาที่ดีพอสมควร มาทำกอฮอร์ มาทำกอฮอร์แล้วก็ ผู้ที่ปลูกอ้อย เอ่อปลูกอ้อย ก็ได้เงิน ผู้ที่ทำกอฮอร์ก็ได้เงินเป็นเงินบาทนะ อย่าให้เป็นดอล่า หรือยูโร เราก็จะสามารถใช้น้ำมัน ใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ต้องเสีย ดอลล่าหรือยูโร แต่คนเค้าก็อาจจะว่า ว่าเราไม่สมัยใหม่ เพราะว่าคนที่ไม่ใช้ดอลล่าไม่ใช้ยูโรรู้สึกว่าคือคนจน แต่เดี๋ยวนี้คนจนเค้าก็ใช้เป็นดอลล่าทั้งน้าน อะไร ๆ ก็ซื้อดอลล่า ไม่ทราบว่ายังงัย เดี๋ยวนี้ดูๆ ที่อย่างในกรุง หรือแม้แต่ในชนบท ซื้อ คนซื้อของที่มาจากต่างประเทศทั้งนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ประหยัดซื้อของในเมืองไทย เค้าบอกซื้อของในเมืองไทย ของเมืองไทยนี่ราคาแพง ทำไม จะไม่แพงก็เพราะเงินบาทนี่ไปซื้อดอลล่า เท่าไหร่แล้วเดี๋ยวนี้ มันเกือบจะห้าสิบแล้วนา ก็หมายความว่า มันแพง

แต่ถ้าซื้อเป็นดอลล่า ดอลล่าก็ถูก แทนที่จะเป็น 50 บาท ก็ 43 บาท 43 บาท ดอลล่าก็เป็น 1 ดอลล่า เราซื้ออะไรที่ราคา 43 บาท ถ้าใช้เป็นเงินดอลล่ามัน 1 ดอลล่าเท่านั้นเอง ที่จริงมันมากกว่า 1 ดอลล่า เพราะว่าต้องเดินทางมา เดินทางมาทั้งหมด ดอลล่าครึ่ง 1.5 ดอลล่า ดูมันน้อย เพราะว่า 43 มันมาก อันนี้ที่ไม่เข้าใจ แล้วยังที่ดีสั่งของ เป็นดอลล่าเค้าเก็บภาษีได้ เก็บภาษี เก็บภาษีขาเข้า อาอันนี้พูดชักยุ่ง เพราะว่า ถ้าพูดมากไป เดี๋ยวก็ท่านรัฐมนตรีโกรธ คงไม่ใช่รัฐมนตรีโกรธ ปลัดกระทรวงก็ โกรธ อธิบดีก็โกรธ ท่าน ผู้ว่าการธนาคารทุกธนาคารก็โกรธ ทั้งนั้นอย่าโกรธ นึกดูว่าทำยังงายจะแก้ให้พอเพียงได้ ก็คง ก็คงจะดีขึ้น อย่างพอเพียงเนี่ย เราก็ทำ เราเขียนเรื่องทฤษฏีใหม่ เขียนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เราก็เขียนเอง ไม่ให้คนอื่นเขียน เขียนใช้คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาราคาแพง แต่ว่าซื้อมา 12 ปีแล้ว ก็ยังใช้อยุ่ ยังใช้คอมพิวเตอร์ที่อายุกว่า 12 - 13 ปีแล้ว ซื้อมาตอนนั้น 5 รอบ ได้คอมพิวเตอร์มา มาถึง 6 รอบ ก็คอมพิวเตอร์อันเดียวกัน ก็ยังใช้อยู่ ต้นปี 43 เค้าโวยวายกันใหญ่ว่าจะมีวายทูเค ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าวายทูเคคืออะไร แต่แท้จริงวายทุเค

ก็พูดปีที่แล้ว ก่อนวายทูเคนิดนึง ว่าน่ากลัว เดี๋ยวคอมพิวเตอร์มันพัง คอมพิวเตอร์มันพัง วันนั้นเมือ่ปีที่แล้ว เมื่อปีที่แล้วก่อน กอน ปีใหม่นิด เดียว พูดถึงวายทุเค วันนั้นคงเสียงสั่น เพราะกลัวคอมพิวเตอร์จะพัง วันปีใหม่ ตั้งใจจะมาจ้องคอมพิวเตอร์ จะจ้องคอมพิวเตอร์ จะจ้องคอมพิวเตอร์ผ่านสองยาม คอมพิวเตอร์จะว่ายังงาย พอดีบอกว่ามีการเลี้ยง การเลี้ยง มันไม่ได้ประหยัด แต่ที่จริงก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไร เลี้ยง ก็อุ้มคอมพิวเตอร์ อุ้มคอมพิวเตอร์ไป ไว้ข้างๆ ข้างโต๊ะที่รับประทานอาหาร โอ๊ย ทางโน้นเค้าก็เล่นดนตรีกันชิ้งช๊างๆ ร้องเพลง ก็บอกให้เงียบ ๆ หน่อย เงียบ ๆ หน่อย มันเกือบสองยามแล้ว คอมพิวเตอร์อยากพูดมั่ง ก็คอมพิวเตอร์มันพูดทุก ๆ นาทีว่า สบายดี แล้วก็มาถึงสองยาม กดจึ๊ง ขอเดชะ ขอพระราชทานถวายพระพร happy newyear เทอด ก็ตกใจ แล้วบอกว่า วันนี้วันที่ 1 มกรา 2000 มันก็ทำงานนี่ ทีหลังก็เป็น กดอีกทีว่า เวลา 00.01 ก็หมายความว่าใช้ได้ คอมพิวเตอร์นี่มันผ่านไปได้ คอยอีกชั่วโมงมันก็ยัง happy new year อยู่ ใช้ได้ วันรุ่งขึ้นก็บอก วันนี้วันที่ 2 มกรา 2000 ไอ้นี่ก็ต้องใช้ ปีฝรั่ง คือ เราก็แขวะว่าทำไมไม่ใช่ 2543

เค้าบอกว่า คอมพิวเตอร์เค้าบอก ผมเป็นคอมพิวเตอร์ฝรั่ง ผมก็ต้องพูดเป็นปีฝรั่ง ก็เอาเถอะ แต่ทำไปทำมาใครต่อใคร ตั้งแต่ท่านนายกลงมาถึงคนเดินถนน เอ้อ ท่านก็เดินถนน ก็เดี๋ยวนี้เป็นปี 2000 อีกไม่กี่วันก็จะเป็น 2001 2000หมดเลย ก็มันเป็น ใช้อย่างนี้ก็เพราะว่ามันเกิดเป็นสหรรษวรรษใหม่ เดี๋ยวนี้เรายังอยู่ใน สหรรษวรรษเก่า ไอ้นี่ของฝรั่ง ของไทยก็เป็นสหรรษวรรษเก่าเหมือนกัน ถึงวันที่ 1 มกรา ก็เป็นสหรรษวรรษใหม่ ทั้งหมด เดี๋ยวนี้พูดไม่ได้ว่าปีพุทธศักราชเท่านั้น ๆ มีแต่ทางราชการที่เขียนพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฏีกาอะไรต่างๆ เป็น ปีพุทธศักราช 2543 2544 แต่ยังงัยเราก็ยอมแพ้ ปีที่แล้วเราก็แขวะว่าไม่ใช่สหรรษวรรษใหม่ แต่ลงท้ายคือยอมแพ้ ว่าเค้าก็เรียกว่าเป็นสหรรษวรรษใหม่ เดี๋ยวนี้เรายอมแพ้ราบคาบเพราะว่า มีคนเค้าเอาแซกโซโฟนมาให้ใหม่ เมื่อไม่กี่วันมานี้ เอาแซกโซโฟนมาให้ แซกโซโฟนมิลลาเนี่ยม แซกโซโฟน 2000 โมเดล 2000 เราก็ต้องจะเล่นโมเดล 2000 จะว่าโมเดล 2543 เอ่อ 2544 ก็ไม่ได้ ก็สร้างในเมืองนอก เค้าเรียกว่าแซกโซโฟน โมเดล มิลลาเนี่ยม 2000 เราก็เลยต้องยอมแพ้ แต่ว่ายังงัยๆ ปีนี้ก็ยังเป็นปี 2543และก็ ปีหน้าก็เป็นปี 2544 ก็เลยทำให้รู้สึกว่า มีสองอย่าง

อะไรๆ เป็นฝรั่ง อะไรเป็นไทย ไม่เข้ากันนะ ไม่เข้ากัน แล้วก็อีกกี่ปีนะ สองปี ท่านรัฐมนตรีจะ กลายเป็น WTO ท่านก็บอกต้อง การค้า ต้องเสรี ต้องคน บางคน การค้าเสรีนี่แย่เราเสียเปรียบ ต้องอธิบาย ต้องอธิบายให้ประชาชนทราบว่าทำไมจะดี ทำยังงายดี ไม่ง้านเค้าถูก ถูกต่างประเทศ เอาเปรียบ เดี๋ยวนี้ต่างประเทศ เค้าก็เอาเปรียบกันเอง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เค้าเอาเปรียบเรา เค้าเอาเปรียบกันเอง เค้าทะเลาะกันเองทั่วโลก ที่เราทะเลาะกันในเมืองไทยไม่ใช่เป็นของแปลก ปกติธรรมดา ในโลกนี้เค้าทะเลาะกันหนักมาก เค้าฆ่ากันตายอย่างหนัก ระหว่างประเทศ ระหว่างพวก แล้วก็ทะเลาะกัน เราอย่าเอาอย่าง ถ้าเราเอาอย่างแล้วเราสมัยใหม่ สมัยใหม่อย่างไม่ดี อันนั้นก็ ที่ขอฝากว่าการ ปฏิบัติระหว่างทั้งประชาชนทุกอายุ ทุกอาชีพให้ปรองดองกันแล้วก็กลับมาถึง รายการโทรทัศน์ว่าเด็กๆ เค้า ปล่อยให้ทะเลาะกันแต่ในที่สุดเค้าก็ช่วยกัน มีเด็กไม่ได้บอก ก็เพราะครูไม่ได้สอน แต่ว่าเด็ก ๆ 4- 5 คน เค้า ช่วยกันสร้างบ้าน เค้าบอกว่างัยกันนะคบเด็กสร้างบ้าน แล้วก็คบอะไรอีกสร้างเมือง ก็ไม่รู้นะ

ก็คือยังไงล่ะ นั่นก็แหละคบเด็กสร้างบ้าน เค้ายกบ้านขึ้นมาเข้าไปแล้วก็ย้ายบ้านไป แล้วเค้าก้อทำเองหมายความว่า เรื่องของมนุษย์ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆเค้ามีสัญชาติญาณ ที่จะต้องช่วยกัน มีสัญชาติญาณที่จะตีหัวกันอย่างที่เล่าให้ฟัง แต่ว่าเมื่อตีหัว แล้วรู้ว่าไม่ได้ผล ไม่ได้ผลทำให้เค้าร้องไห้ ก็กลับมาร่วมกันสร้าง ใหม่ คบคบกันเองสร้างบ้าน คงน่าดูว่า นิสัยต่างกัน เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลาย ก็ทราบว่า เรา เราเลี้ยงสุนัข เค้าอยากเรียก ว่านักพอเพียง แต่ที่จริงไม่พอเพียง เป็นสุนัข เป็นสุนัขประหยัด แล้วก็มีท่านผู้ว่าพระนคร ก็ รับรองว่าเลี้ยงสุนัข ประหยัดดี ท่านเลี้ยงแมว เราเลี้ยงหมา มีประโยชน์มาก สุนัขนี้มีลูกมา 6 เอ่อ 9 ตัว 9 ตัว ชุดแรกเมื่อ 2-3 ปี 3 ปีก่อน 2 ปี สุนัข สุนัขประหยัดตัวแรก ออกลูกมา 9 ตัว แล้วก็ เสร็จแล้ว เมื่อ 4 เดือน สุนัขอีกตัวหนึ่ง ออกลูกมาอีก 9 ตัว เป็น 18 แล้วก็เมื่อ 2 เดือน สุนัขอีกตัว ออกลูกมาอีก 9 ตัว เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็น 27 แต่หลังนี่ที่ 2 เดือน เป็นครู ก่อนนี้ ชุดแรก 9 ตัวแรก ได้แจกไปให้คนที่ต้องการไป 7 ตัวเหลือ 2 ตัว ชุดที่ 2 ตัวที่ 2 แจกไป 3 ตัว เหลือ 6 ชุดที่ 3 นี่ 9 ตัว ไม่แจก เป็นครู เป็นครูเมื่อวานนี้เอง ไปที่คอก มีตัวนึง เป็นตัวที่ 8 ตัวที่ 8 ชื่อ ทองอัฐๆ เป็นขนมนะ ไม่ทราบว่าใคร ใครเคยกินขนมทองอัฐ 9 ตัวนี่เป็นขนมทั้งนั้น เป็นชื่อขนมเพราะว่า แม่หางม้วน

แล้วก็บอกว่า ลูกจะต้อง ชื่อทองม้วน มีอีกตัว น้องของทองแดง เราจะให้ชื่อว่าทองม้วน มันไม่ได้ ทองแดง น้องของทองแดงคือ ทองเหลืองๆ นี่ก็ให้คนอื่นเค้าไป ทองเหลือง ก็ลูกจะให้ชื่อว่าทองเหลือง ปรากฏว่า ตัวแรกที่ออกมา เป็นตัวเมีย ตัวเมียให้ชื่อทองเหลืองไม่ได้ แข็งเกินไป เลยชื่อว่าทองชมพูนุท ทองชมพูนุท เป็นขนมเหมือนกัน ขนมทองชมพูนุท ตัวที่สองเป็นผู้ชาย จะให้ชื่อว่าทองม้วน ก็ไม่ได้ เพราะว่ามีขนม ชื่อทองเอก เอกต้องมาก่อน ก็ตัวที่ 1 ชมพูนุท ทองชมพูนุท ตัวที่สอง ทองเอก ก็เป็นขนม ตัวที่สามเป็นทองม้วน ตัวที่สี่เป็นทองทัด เดือดร้อนเหมือนกัน เพราะ มีคนชื่อทองทัด แต่ว่า ก็ยังไงก็ บางคนเค้าให้ชื่อ ชื่อคนเค้านับถือใคร ก็ให้ชื่อ นี่ไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นว่าคน ที่ชื่อทองทัดนะ เป็น ทองม้วน ก็มีวันก่อนนี้ วันก่อนนี้มีคนชื่อทองม้วนมา ชมพูก็มี คนที่ชื่อเอกก็มี ก็ทองทัด ตัวต่อไปชื่อทองพลุ

คงไม่มีชื่อคน ชื่อพลุ ชื่อทองพลุ ต่อไปก็ชื่อ ทองหยิบ แล้วตัวที่เจ็ด ชื่อทองหยอด ทองหยอด ตัวที่แปดชื่อทองอัฐ อัฐ-ฐะ ตัวที่เก้าชื่อทองนพ แล้ววงเล็บว่า วงเล็บว่าคุณ ก็ทองนพคุณ ก็เป็นขนมนะ แต่ทีนี้ก็เป็นชื่อคน ชื่อคนก็มีนพคุณเยอะแยะ แต่ว่านี่เป็นชื่อขนม ทองนพคุณ ขนมทั้งเก้าตัว นี้ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า ที่ชื่อทองอัฐ ท่านจะพาลมาก ไปดื้อ ไปขู่ตัวโน้นตัวนี้ แม่ แม่เห็นอย่างนั้น กัดแบบสั่งสอน สั่งสอนทองอัฐ นั่นก็ร้องเอ๋ง เพราะตัวรู้ว่าตัวผิด ทองแดงก็สอน แหมยิงฟัน เขี้ยวใหญ่ ลงท้ายทองอัฐก็เชื่อฟัง แล้วก็เป็นเด็กดี เป็นหมาดี ไม่ ไม่ไป ไม่ไปขู่ คนอื่นเลย นั่ง นั่งอยู่อย่าง สงบเสงี่ยม แสดงให้เห็นว่า จะเป็นคน หรือเป็นหมา ก็ต้องสั่งสอน ถ้าสั่งสอน ถ้าฉลาด ก็เชื่อฟัง ก็ต้องทำให้ดี ไม่อย่างนั้นจะยุ่งมาก 9 ตัวอยู่ในที่ เดียวกัน กัดกันเรื่อย กัดกัน ก็เลยทำให้ไม่มีความ สงบสุขในที่นั้น เช่นเดียวกัน ในประเทศชาติ ถ้ากัดกันมาก เกินไป เคย เคยบอก เคยพูดว่าคนกัดกัน คนบอกว่าทารุณพูดอย่างนี้ พูดหนักเกินไป ความจริง หมามันกัดกัน

แต่คนก็กัดเหมือนกัน ก็เลยที่เคยบอก คนกัดกันนี่ คนที่มาฟังบอกว่า พูดหยาบคาย ที่จริงมันไม่ได้หยาบคาย ทะเลาะกันหยาบ คายกว่ากัดกัน พอกัดกันแล้ว ทะเลาะมันหยาบคาย กัดกันมันตรงไปตรงมา ก็กัดกันอย่าง ไม่รุนแรงเกินไป แต่ว่าในที่สุดก็เข้าใจกัน ก็มีความสุข มีความสงบ ไม่แก่ตัวนะ เอ๊ะ กี่ปีแล้วที่พูดมา ไม่ทราบใครจำได้ แต่ว่ายังไงก็ตาม ที่พูดถึงกลัวเวลาพูด หลุดปากออกไป หลุดปากออกไปว่า เดี๋ยวจะหาว่า หยาบคาย เดียวหาว่าพูดแรงเกินไป เดียวหาว่าพูดปิด ถ้าฟังแล้ว มีความสุข แล้วก็มาให้พร เราก็ให้พร กับทุกท่านที่ อยู่ที้นี้ว่า ให้มีความสงบ ความสุข ความเจริญ ความพอใจ พอใจ อย่างที่รู้ว่าคนอืนเขาพอใจด้วย เหมือนกัน ไม่ใช้พอใจ แล้วคนอืนไม่พอใจ ขอต่อ ขอติงไว้ ว่าทำให้ตัวเอง มีความพอใจ โดยที่ ให้คนอืนเขาเสีย คนอืนเขาไม่พอใจ คนอืน เขา เขา เสียใจอันนี้ไม่ดี ไม่ให้พร ถ้ามีความพอใจ แล้วก็สามารถ ให้คนอืนมีความพอใจ อันนี้ดีให้พร แล้วก็ขอ คงพอแล้ว ก็ขอ ให้พร

ให้ทุกๆ ท่านนี้ ได้รับพร อย่างที่ท่านทั้งหลาย ได้มาให้พร แล้วก็ขอบใจ แล้วก็ขอให้ท่าน ขอบใจด้วย ที่ได้รับพร และทุกคนก็ให้ พรซึ่งกันและกัน ก็ขอให้จงมีความเจริญ......

กลับสู่ หน้าดัชนีพระราชดำรัส


สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๒ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ห้ามนำข้อมูลของเครือข่ายนี้ ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร